วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เทคนิคการแต่งเพลงเบื้องต้น

เทคนิคการแต่งเพลงเบื้องต้น

 สวัสดีครับ วันนี้จะมาให้ความรู้เบื้องต้นสำหรับคนที่อยากแต่งเพลง
ผมเข้าใจว่าบางคนฟังเพลงไปแล้ว อยากจะแต่งขึ้นมาด้วยใจรักษ์ บางคนอยาก
จะแต่งขึ้นมาให้กับวงของตนเอง บางคนอยากจะแต่งมอบให้คนพิเศษ หรือว่า
บางคนอยากจะแต่งประชดแฟนเก่า ก็สามารถทำได้นะครับ

วิธีการง่ายๆเลยมีดังนี้ครับ
1.คิดจุดมุ่งหมายของเพลง
เราจะแต่งเพลงเกี่ยวกับอะไร โครงเรื่องว่าอย่างไรบ้าง เอาไงดีน้อ.. คิดๆๆมัน
ไปเรื่อยๆตรงนี้ หรือที่เขาเรียกกันว่าการวางโครงเรื่องนั่นเอง

2.คิดทำนองเพลง
ทำนองเพลงก็คงเข้าใจกันนะครับว่าคือสเกล เหมือนกับเพลงทั่วๆไป ทางภาษา
ของคนแต่งเพลงเค้าเรียกว่า "การฮำเพลง" เพลงจะออกมาน่าฟังไ่ม่น่าฟังก็จะอยู่
ตรงนี้หละนะครับ

3.คิดเนื้อเพลง
โดยเฉพาะท่อน Hook ครับ ท่อน Hook คือท่อนที่เป็นใจกลางของเพลง เพราัะ
เราอาจจะสังเกตเห็นหลายๆเพลงที่เค้าเอามาทำเป็นเสียงรอสายกัน ท่อนนี้จะ้้เป็น
ท่อนที่เรียกง่ายๆว่าท่อนปล่อยของครับ แล้วจากนั้นลองคิดเนื้อคิดอะไรใส่ดูครับ

4.ร้องทบทวนอีกครั้ง เพื่อเปลี่ยนแปลงคำที่ไม่ลื่นหู
ที่แต่งๆมาบางคำในเพลง อาจจะทำให้ไม่ลื่นหู จำยาก ลองเปลี่ยนเป็นคำอื่นๆดูครับ
อาจจะทำให้คล้องจองและจำง่ายขึ้นก็ได้ครับ

5.การใส่คอร์ด
สำหรับใครที่เล่นกีร์ต้าหรือเปียโนเป็นอยู่แล้ว ก็สบายบรื๋อเลยครับตอนนี้ แต่หากว่า
ใครเล่นไม่เป็น ก็ต้องง้อคนเล่นเป็นใส่ให้แล้วนะครับ

6.การบันทึกเสียง
การบันทึกเสียงในที่นี้ หมายถึงการอัดทำนองเพลงและการร้องพอคร่าวๆไว้ เพื่อป้องกัน
ไม่ให้ลืม บางคนแต่งอย่างดีเลย แต่กลับลืม อันนี้เป็นวิธีทางการป้องกันครับ หรือหากว่า
ใครที่คิดว่าไม่ลืม ก็ไม่ต้องอัดก็ได้นะครับ แต่ผมแนะนำว่าการอัดเป็นการกระทำที่ดีที่สุด
เพราะเวลาเอาไปเสนอศิลปินหรือค่าย ก็สามารถนำตัวนี้ไปให้เค้าดูได้ครับ

 แค่นี้ก็จบวิธีการแต่งแล้วนะครับ

คำแนะนำในการแต่งเพลง
1.อย่าใช้คำที่มันรกหูรกตา
2.อย่าใช้คำที่มันผันคนละคีย์กับเพลง
3.อย่าพยายามใช้คำที่รุนแรง ส่อเสียด
4.อย่าใช้คำที่ลามก อาณาจาร หื่น
5.อย่ามีการซ้ำเนื้อร้องมากเกินไป

ส่วนสำคัญของเพลง จัดได้ดังนี้
1.บทนำของเพลง
2.ท่อนก่อน Hook
3.ท่อน Hook
4.ท่อนจากท่อน Hook หรือเรียกว่าท่อนสรุป
5.ท่อนลงท้าย

สำหรับโปรแกรมในการอัดเสียงก็มีมากมายเลยนะครับ ก็หาโหลดใช้กันได้ แนะแนวนิดนึง
1.Cool Edit Pro
2.Nero Wave Editor
3.Sound Forge
4.Cubase
5.Neundo
6.Adobe Audition

ยังไงมีอะไรคำถามเพิ่มเติมก็แวะ P.M. มาก็ได้นะครับ ผมแนะนำว่าถ้าไม่เป็นจริงก็ๆก็ P.M. มาขอ
Email เพื่อ MSN คุยกันจะดีกว่านะครับ เพราะจะได้รู็และเข้าใจถึงแก่นการแต่งที่แท้จริง

หมายเหตุ
- หากจะ Copy บทความนี้ไป กรุณาให้ Credit Tar_MyLife ด้วยนะครับ
- หากมีข้อสงสัยก็ P.M. มาขอเมล์ผมได้ครับ

ขอบคุณมากครับ และหวังว่าบทความนี้จะไม่รกหูรกตาทุกๆคนนะครับ ขอให้สนุกในการแต่งเพลงครับ


ขอขอบคุณ : 
http://www.2-teen.com/community/viewthread.php?tid=84020

เทคนิคการแต่งเพลงของผมครับ

     เรื่องของการแต่งเพลงถ้าต้องการ ให้เพลงที่คุณแต่งเพราะ....และซึ้ง เราช่วยคุรได้ค่ะ   เทคนิคการแต่งเพลงของผมครับ  เทคนิคการแต่งเพลงของผมมีหลายแบบนะครับ หลายคนอาจจะไม่เหมือนกัน ขึ้นกับอยู่เทคนิคของแต่ละคน ไม่จำเป็นต้องยึดติดว่าเป็นยังไง จริงไหมล่ะครับ เพราะถ้ามัวยึดกับสิ่งเก่าๆ เราจะไม่มีการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ เอาล่ะผมจะไม่พูดมากนะครับ ผมไม่ได้หมายความว่าผมอวดรู้ หรือผมแต่งเพลงเก่งนะครับ ผมอยากเสนอความเห็นของผม ในชมรมคนแต่งเพลง ร้องเพลง นักดนตรีบ้างครับ 1.ผมจะเอื้อนทำนองอัดใส่เทปไว้ก่อนครับ อาจจะเป็นเพลงไม่เป็นเพลงก็ตาม เหมือนกับร้องเพลงมั่วๆน่ะครับ เช่น นา น่า น๊า ฮือ ฮื่อ ฮื้อ ถ้าคิดว่าเอื้อนเพราะ นั่นก็เป็นทำนองท่อนสร้อย 2.ทำการแต่งเนื้อเพลง โดยอันดับแรก แต่งเป็นร้อยแก้วก่อน วางโคลงเรื่องเหมือนกับร้อยแก้วทั่วไป ให้เป็นเรื่องเป็นราว แล้วจากนั้น นำมาสัมผัส วรรคตอน ให้เข้ากับทำนองเพลง ซึ่งสิ่งสำคัญคือพยางค์ครับ 3.นำเนื้อเพลงมาขัดเกลาข้อความให้สละสลวย ลดคำตาย ไม่นำคำที่ส่งเสียงขึ้นสูงไม่ได้ ไปไว้ตรงที่ร้องเสียงสูง เช่นเสียงเอก หรือ เสียงตรี (ตัวอย่าง ลมพัด เย็น เย๊น โชยมา คงไม่ไพเราะแน่ครับ) ส่วนการขลัดเกลาข้อความเนื้อเพลงก็เช่น พระอาทิตย์ ฟังดูร้อนแรงใช่มั๊ยครับ แต่ถ้าเป็นเพลงร๊อคก็ไม่เป็นไร ถ้าเป็นเพลงคลาสสิค น่าจะใช้คำว่า ตะวัน มากกว่านะครับ หรือใช้คำหวานๆ ฟังดู เคลิ้มไปกับอารมณ์ ใช่ ทิวทุ่ง ฝนซา ใบไม้ไหว ลมพัด ฯลฯ แต่ถ้าเพลงร๊อค หรือ ฮาร์ดร๊อค ฮาร์ดคอร์ ต้องหนักแน่น เน้นคำที่ชัดเจนครับ 4.ใครคอร์ด โดยเลือกจากกลุ่มคอร์ดต่างๆ 5.ทำการบันทึกเพลงใหม่ ใส่ดนตรีให้เหมาะสม ใส่ อินโทร โซโล่ เอาท์โทร       เทคนิคการแต่งเพลง...ให้ไพเราะ... ถ้า "ซึ้งๆ เพราะๆ" ของคุณหมายถึงเพลง pop ช้าๆ ที่แกรมมี่ฯ อาร์เอสฯ เขาแต่งให้ศิลปินร้องทั่วๆ ไป คิดว่าพอตอบได้ครับ จะว่าไปแล้วมันไม่มีสูตรตายตัวหรอกครับ แต่ทางคอร์ดแบบฮิตๆ กันมันก็มีหลายทาง แบบที่แต่งออกมาแล้วฟังแล้วรื่นหู เข้าใจง่าย เดาง่าย ขึ้นอินโทรมาก็เดาได้เลยว่าใช่แบบที่เคยฟั... ถ้าคุณหมายถึงแบบนี้ก็ไม่ยากครับ  1. คิดหาคอนเซ็ปต์ก่อน ว่าจะเป็นเพลงรักหวานซึ้งอย่างไร เนื้อหาจะพูดถึงเรื่องอะไร ทำนองจะประมาณไหน จุดขายคืออะไร เช่น ท่อนฮุคเพราะโดนใจ มีคำสวยๆ เช่น เพลงปาฎิหาริย์ "น่าจะเจอกันมาตั้งนาน ก่อนที่เธอจะเป็นของใคร อยากมันมีปาฎิหาริย์.." หรือเนื้อหาสวยงาม เช่น "ไม่ใช่ผู้วิเศษ ที่จะเสกปราสาทงามให้เธอ... ฉันเป็นเพียงผู้ชาย คนนี้ที่มีใจมั่นรักเธอ" 2. เมื่อได้คอนเซ็ปต์แล้วก็ลงรายละเอียดว่าใค... คนที่ร้องมีบุคลิกเหมาะกับเพลงนั้นไหม เช่น แต่งเพลงให้วงร็อกแบบบอดี้สแลมร้องว่า "จุ๊บๆ เจอะทีไรก็จุ๊บๆ" หรือแต่งให้พี่นภ พรชำนิร้องว่า "ไอ้เธอมันคือนางแมวยั่วสวาท" อย่างนี้ไม่เกิดแน่นอน หรือถ้าคุณแต่งจีบสาว ก็ต้องดูว่าตัวคุณเหมาะกับเพลงแบบไหน 3. คุณคงเล่นเครื่องดนตรีได้อยู่แล้ว ก็เริ่มลงทำนองก่อน แล้วร้อยเนื้อร้องเข้าไป แต่บางคนก็ถนัดเขียนเนื้อร้องก่อนแล้วค่อย... อันนี้แล้วแต่คุณ ส่วนเทคนิคที่มันจะซึ้งกินใจ ก็ต้องดูว่าคนฟังเขาต้องการอะไร เช่น ถ้าคุณต้องการเขียนจีบสาว แบบว่ากะอยากจะเป็นแฟน ก็ลองนึกดูว่าประโยคแบบไหนที่จะโดนใจเธอ เช่น "เธอสวย..ทุกนาทีที่เคยสัมผัส รู้ทันทีว่าเธอคือคนพิเศษ ที่ฉันนั้นรอมานาน...นี่คือเหตุผลที่ยังรั... พูดง่ายๆ คือต้องรู้ว่าเราเป็นใคร ร้องให้ใครฟัง ทำไมเขาต้องฟัง ส่วนเรื่องแรงบันดาลใจอันนี้มันอยู่รอบต... เห็นอะไรหยิบจับมาเป็นเนื้อสวยๆ ได้ก็ลองดู เช่น ปราสาททรายกับน้ำทะเล หรือดาวบนฟ้า ผมไม่ได้คิดเอง...แต่ไปเอามาจากเว็ป...อะไร...จำไม่ได้...   สิ่งที่ควรรู้ในการแต่งเพลง การจะเป็นนักแต่งเพลง นักเรียนเรียงเสียงประสานก็ไม่ต้องมัวพะวงกับทำนองหรือเนื้อมาก่อนมาหลัง เรื่องนี้เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล บางคนเขาก็ถนัดเนื้อก่อน บางคนก็ต้องทำนองก่อนแล้วเนื้อตาม แต่คนที่ถนัดอย่างใดอย่างหนึ่งก็เยอะ เช่น ครูชาลี อินทรวิจิตร กับครูสมาน กาญจนผลิน นี่จะชัดมาก คนแรกถนัดเขียนเนื้อ คนหลังถนัดทำนองและเรียบเรียงฯ เรื่องนี้ครูชาลีเคยเล่าว่า ทำนองแกก็พอจะได้อยู่หรอก แต่ไม่ถนัด ไม่อยากให้เพลงมันออกมาแบบร้อยเนื้อทำนองเดียว ก็เลยต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ครูสมาน  บางทีนักร้อง หรือนักดนตรีบางคน นั่งดีดกีตาร์เคาะเปียโนเล่นๆก็อาจจะได้คอร์ดสวยๆทำนองดีๆๆอย่างไม่ตั้งใจ หรืออย่างครูสุรพล สมบัติเจริญ ชอบฮัมเพลงในห้องน้ำมาก ก็ได้เพลงจากห้องน้ำหลายเพลงเหมือนกัน บางวันวิ่งออกมาจนเนื้อข้างนอกแทบไม่ทัน การทำเพลงสมัยนี้สะดวกสบายกว่าแต่ก่อนมากสตริงกับลูกทุ่งจะกินก็ตรงเครื่องไม้เครืองมือนี่แหละ วิธีการอาจนจะไม่ต่างกันนัก สตริงสมัยนี้ไม่ว่าค่ายเล็ก ค่ายใหญ่ เขาจะมีทีมนักดนตรีของเขาอยู่ ช่วยกันทำดนตรีจนเสร็จ แล้วส่งไปให้นักแต่งเพลงของบริษัทใส่เนื้อ เพลงลูกทุ่งค่ายใหญ่ๆก็อาจใช้วิธีการเดียวกัน แต่ส่วนใหญ่ยังใช้วิธีการเก่าๆคือเขียนเนื้อพร้อมทำนองฮัมไปเขียนไป   คำแนะนำในการแต่งเพลง ถ้าไม่เข้าใจเรื่องอารมณ์เพลง บอกตรงนี้เลยว่า ไม่มีทางที่จะแต่งเพลงได้ดี เพราะผมเคยมาก่อนครับ เคยหาคอร์ดดีๆ มาใส่ในเพลง ใส่โซโลเจ๋งๆ เขียนเนื้อคล้องกันสะอย่างดี ต่อพอเอาไปให้เพื่อนฟัง มันบอกว่า เหมือนกราฟเส้นตรงในจอกมอร์นิเตอร์ของห้องไอซียูที่คนตายไปแล้ว คือเรียบเอาสะมากๆ ฟ้งแล้วไม่มีอารมณ์ร่วมเลย ดังนี้ หัวใจสำคัญของการแต่เพลงคือ อารมณ์เพลง ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์เศร้าหรืออารมณ์สนุกก็ตามต้องเค้นมันออกมาให้ได้ แล้วเพลงจะดีเอง - วิธีฝึกเรื่องอารณ์เพลง ให้ลองนั่งอยู่ห้องคนเดียว(อยู่กับคนอื่นเดียวเขาจะหาว่าเราบ้า) แล้วนึกเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่มันเศร้าถ้าต้องการแต่งเพลงเศร้า แล้วทำอารมณ์ออกมาให้น้ำตาของเรามันไหลออกมาให้ได้ (ตอนนี้ยังไม่ต้องหยิบเครื่องดนตรีมาเล่นก่อนเพราะเป็นเพียงการฝึกเรื่องอารมณ์เพลง) ในตอนที่น้ำตาคุณไหลนั้นแหละ อารมณ์เพลงหรือความรูสึกของเพลง และก็อย่ารอช้า -บรร - ละ - ยาย - มันออกมาเลยครับ เพลงจากใจ         เพลงซึ้งๆเพราะๆ ถ้า "ซึ้งๆ เพราะๆ" ของคุณหมายถึงเพลง pop ช้าๆ ที่แกรมมี่ฯ อาร์เอสฯ เขาแต่งให้ศิลปินร้องทั่วๆ ไป คิดว่าพอตอบได้ครับ จะว่าไปแล้วมันไม่มีสูตรตายตัวหรอกครับ แต่ทางคอร์ดแบบฮิตๆ กันมันก็มีหลายทาง แบบที่แต่งออกมาแล้วฟังแล้วรื่นหู เข้าใจง่าย เดาง่าย ขึ้นอินโทรมาก็เดาได้เลยว่าใช่แบบที่เคยฟังแน่นอน ถ้าคุณหมายถึงแบบนี้ก็ไม่ยากครับ  1. คิดหาคอนเซ็ปต์ก่อน ว่าจะเป็นเพลงรักหวานซึ้งอย่างไร เนื้อหาจะพูดถึงเรื่องอะไร ทำนองจะประมาณไหน จุดขายคืออะไร เช่น ท่อนฮุคเพราะโดนใจ มีคำสวยๆ เช่น เพลงปาฎิหาริย์ "น่าจะเจอกันมาตั้งนาน ก่อนที่เธอจะเป็นของใคร อยากมันมีปาฎิหาริย์.." หรือเนื้อหาสวยงาม เช่น "ไม่ใช่ผู้วิเศษ ที่จะเสกปราสาทงามให้เธอ... ฉันเป็นเพียงผู้ชาย คนนี้ที่มีใจมั่นรักเธอ" 2. เมื่อได้คอนเซ็ปต์แล้วก็ลงรายละเอียดว่าใครเป็นคนร้อง คนที่ร้องมีบุคลิกเหมาะกับเพลงนั้นไหม เช่น แต่งเพลงให้วงร็อกแบบบอดี้สแลมร้องว่า "จุ๊บๆ เจอะทีไรก็จุ๊บๆ" หรือแต่งให้พี่นภ พรชำนิร้องว่า "ไอ้เธอมันคือนางแมวยั่วสวาท" อย่างนี้ไม่เกิดแน่นอน หรือถ้าคุณแต่งจีบสาว ก็ต้องดูว่าตัวคุณเหมาะกับเพลงแบบไหน 3. คุณคงเล่นเครื่องดนตรีได้อยู่แล้ว ก็เริ่มลงทำนองก่อน แล้วร้อยเนื้อร้องเข้าไป แต่บางคนก็ถนัดเขียนเนื้อร้องก่อนแล้วค่อยใส่ทำนอง อันนี้แล้วแต่คุณ ส่วนเทคนิคที่มันจะซึ้งกินใจ ก็ต้องดูว่าคนฟังเขาต้องการอะไร เช่น ถ้าคุณต้องการเขียนจีบสาว แบบว่ากะอยากจะเป็นแฟน ก็ลองนึกดูว่าประโยคแบบไหนที่จะโดนใจเธอ เช่น "เธอสวย..ทุกนาทีที่เคยสัมผัส รู้ทันทีว่าเธอคือคนพิเศษ ที่ฉันนั้นรอมานาน...นี่คือเหตุผลที่ยังรักเธอ..." พูดง่ายๆ คือต้องรู้ว่าเราเป็นใคร ร้องให้ใครฟัง แล้วทำไมเขาต้องฟัง ส่วนเรื่องแรงบันดาลใจอันนี้มันอยู่รอบตัวครับ เห็นอะไรหยิบจับมาเป็นเนื้อสวยๆ ได้ก็ลองดู เช่น ปราสาททรายกับน้ำทะเล หรือดาวบนฟ้า  

เทคนิคของการแต่งเพลง

 
 
 
 
 
 
 
 
 [smiley=smiley04.gif]การแต่งเพลง ส่วนใหญ่จะใช้หลักการนับ "จังหวะ" ของแต่ละห้องโน๊ต ซึ่งจังหวะนั้นจะแบ่งได้ 3 ประเภท คือ "แบบ2จังหวะ","แบบ3จังหวะ" และ "แบบ4จังหวะ" ซึ่งจังหวะนี้เป็นหลักสำคัญของเพลงเลยทีเดียว ถ้าไม่มีจังหวะก็ไม่เกิดเพลงขึ้น หรือเกิดแค่เสียงที่ไม่สละสลวย การแต่งเพลงนั้นที่ยอดฮิตที่สุดคือการแต่งเพลง "ดูเอ็ท" คือการแต่งเพลงที่คล้ายๆการร้องเพลงประสานเสียงระหว่างคนสองคน แต่ว่าเปลี่ยนเป็นการเล่นด้วยเครื่องดนตรีชนิดเดียวกัน แต่เล่นเพลงเป็น 2 เสียง(มี 2 โน้ต) ส่วนใหญ่จะพบในโน๊ตเปียโน เช่นเพลง The Piano Duet สมมติว่าคุณกับเพื่อนคุณมีไวโอลินคนละ 1 เครื่อง แล้วคุณต้องการแต่งเพลง คุณต้องมีวิธีการทำให้เสียงไวโอลิน 2 เครื่องเข้าด้วยกันได้ ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่ [smiley=smiley04.gif]

 [smiley=smiley04.gif]ยอดฮิตมากในปัจจุบัน คุณต้องมีวิชาการฟังเสียง 2 เสียงนี้ให้เข้าด้วยกันก่อน ถ้าคุณมีวิชานี้แล้วคุณสามารถแต่งเพลงต่อไปได้โดยการใช้จังหวะ ถ้าคุณเลือกการแต่งเพลงแบบ 2 จังหวะ ซึ่งเป็นจังหวะที่แต่งเพลงค่อนข้างยากและสับสน คุณอาจจะต้องใช้เวลานาน (ตัวอย่างเพลง : Love Story) ถ้าคุณเลือกการแต่งเพลงแบบ 3 จังหวะ ซึ่งเป็นจังหวะที่แต่งเพลงยากเหมือนกันกับแบบ 2 จังหวะ (ตัวอย่างเพลง : Beethoven's Fur Elise) ถ้าคุณจะแต่งเพลงแบบ 4 จังหวะ ซึ่งเป็นจังหวะที่แต่งง่ายที่สุด (ตัวอย่างเพลง : เห็นได้ทั่วไป) เมื่อคุณคิดจะเอาจังหวะไหนแล้ว อันดับแรกคุณต้องมีวิชาการอ่านตัวโน๊ตเสียก่อน ถึงจะแต่งเพลงได้ ซึ่งโน๊ตเพลงสากลทั่วไปจะใช้หลักการ Chord มาช่วยด้วย ซึ่งทำให้เพลงมีอารมณ์แตกต่างกันไป (สมมติถ้าใช้ chord : C Major ก็จะออกอารมณ์อ่อนไหวเหมือนท้องฟ้า ถ้าใช้ chord : E Major ก็จะออกอารมณ์หนักแน่นมุ่งมั่นดังไฟ) เมื่อคุณเลือก chord เสร็จแล้ว อย่างแรกคุณต้องหมั่นนับจังหวะห้องโน๊ตด้วย ถ้าคุณเขียนเกิดไป 1 จังหวะห้องโน๊ต จะทำให้โน๊ตเสียไป ซึ่งเป็นปัญหาธรรมดาๆ จากนั้นถ้าคุณแต่งเพลงได้แล้ว คุณต้องจำแนกชนิดของเครื่องดนตรีด้วย เพราะโน๊ตแต่ละเครื่องดนตรีจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิง [smiley=smiley04.gif]

วิธีการแต่งเพลงให้ซึ้งๆ เพาะๆ นั้นมีเทคนิคอย่างไรครับ

คำตอบที่ดีที่สุด - เลือกโดยเพื่อนๆ ที่ช่วยกันโหวต

ถ้า "ซึ้งๆ เพราะๆ" ของคุณหมายถึงเพลง pop ช้าๆ ที่แกรมมี่ฯ อาร์เอสฯ เขาแต่งให้ศิลปินร้องทั่วๆ ไป คิดว่าพอตอบได้ครับ

จะว่าไปแล้วมันไม่มีสูตรตายตัวหรอกครับ แต่ทางคอร์ดแบบฮิตๆ กันมันก็มีหลายทาง แบบที่แต่งออกมาแล้วฟังแล้วรื่นหู เข้าใจง่าย เดาง่าย ขึ้นอินโทรมาก็เดาได้เลยว่าใช่แบบที่เคยฟังแน่นอน ถ้าคุณหมายถึงแบบนี้ก็ไม่ยากครับ

1. คิดหาคอนเซ็ปต์ก่อน ว่าจะเป็นเพลงรักหวานซึ้งอย่างไร เนื้อหาจะพูดถึงเรื่องอะไร ทำนองจะประมาณไหน จุดขายคืออะไร เช่น ท่อนฮุคเพราะโดนใจ มีคำสวยๆ เช่น เพลงปาฎิหาริย์ "น่าจะเจอกันมาตั้งนาน ก่อนที่เธอจะเป็นของใคร อยากมันมีปาฎิหาริย์.." หรือเนื้อหาสวยงาม เช่น "ไม่ใช่ผู้วิเศษ ที่จะเสกปราสาทงามให้เธอ... ฉันเป็นเพียงผู้ชาย คนนี้ที่มีใจมั่นรักเธอ"

2. เมื่อได้คอนเซ็ปต์แล้วก็ลงรายละเอียดว่าใครเป็นคนร้อง คนที่ร้องมีบุคลิกเหมาะกับเพลงนั้นไหม เช่น แต่งเพลงให้วงร็อกแบบบอดี้สแลมร้องว่า "จุ๊บๆ เจอะทีไรก็จุ๊บๆ" หรือแต่งให้พี่นภ พรชำนิร้องว่า "ไอ้เธอมันคือนางแมวยั่วสวาท" อย่างนี้ไม่เกิดแน่นอน หรือถ้าคุณแต่งจีบสาว ก็ต้องดูว่าตัวคุณเหมาะกับเพลงแบบไหน

3. คุณคงเล่นเครื่องดนตรีได้อยู่แล้ว ก็เริ่มลงทำนองก่อน แล้วร้อยเนื้อร้องเข้าไป แต่บางคนก็ถนัดเขียนเนื้อร้องก่อนแล้วค่อยใส่ทำนอง อันนี้แล้วแต่คุณ

ส่วนเทคนิคที่มันจะซึ้งกินใจ ก็ต้องดูว่าคนฟังเขาต้องการอะไร เช่น ถ้าคุณต้องการเขียนจีบสาว แบบว่ากะอยากจะเป็นแฟน ก็ลองนึกดูว่าประโยคแบบไหนที่จะโดนใจเธอ เช่น "เธอสวย..ทุกนาทีที่เคยสัมผัส รู้ทันทีว่าเธอคือคนพิเศษ ที่ฉันนั้นรอมานาน...นี่คือเหตุผลที่ยังรักเธอ..." พูดง่ายๆ คือต้องรู้ว่าเราเป็นใคร ร้องให้ใครฟัง แล้่วทำไมเขาต้องฟัง

ส่วนเรื่องแรงบันดาลใจอันนี้มันอยู่รอบตัวครับ เห็นอะไรหยิบจับมาเป็นเนื้อสวยๆ ได้ก็ลองดู เช่น ปราสาททรายกับน้ำทะเล หรือดาวบนฟ้า

เทคนิคเล็กๆน้อยๆในการทำเนื้อร้องทำนองและเสนอเพลง

เทคนิคเล็กๆน้อยๆในการทำเนื้อร้องทำนองและเสนอเพลง
ก่อนอื่นผมต้องขอออกตัวก่อนว่า ผมไม่ใช่นักดนตรีที่เก่งกาจอะไรไม่ได้รู้โน้ตเพลงเท่าไรนัก ผมเป็นแค่คนที่เล่นเครื่องดนตรีได้บ้างและรู้คอร์ดไม่มากนัก แต่ผมก็ชอบที่จะแต่งเพลงโดยเขียนทั้งเนื้อร้องและทำนองไปพร้อมกัน ผมว่ามันสนุกดีและไม่มีอะไรมาจำกัดความคิดของเรามากนักและจุดเริ่มต้นของการมาเป็นนักแต่งเพลงของผมก็คือ
การได้เอาเพลงที่แต่งเก็บไว้ไปเสนอค่ายเทปนั่นเอง คงมีหลายคนที่อยากจะเขียนเพลงไปเสนอค่ายเทปแต่ไม่รู้จะเอาเมโลดี้(ทำนอง)มาจากไหน ผมขอแนะนำว่าถ้าคุณพอที่จะเล่นกีต้าร์หรือคีย์บอร์ดได้บ้างก็ลองแต่งเพลงขึ้นมาเองเลย หรือถ้าเล่นไม่เป็นเลยก็ลองทำเนื้อกับทำนองขึ้นมาโดยใช้วิธีฮัมเพลงด้วยปากเปล่าไปเลยก็พอได้อยู่ครับ แล้วก็ลองอัดใส่เทปส่งไปเสนอตามค่ายดูนะครับ
ปกติผมจะถนัดใช้คีย์บอร์ดในการแต่งเพลง โดยเริ่มจากการเล่นคอร์ดวนไปเรื่อยๆแล้วก็ฮัมทำนองเล่นๆไป บางทีก็เล่นไปฮัมไปอยู่หลายชั่วโมงเลย เอามันส์ไว้ก่อนเป็นการสร้างอารมณ์ อุ่นเครื่อง เพราะบางทีถ้าตั้งใจทำเกินไปมันก็ออกมาแข็งๆไป ไม่ค่อยจะเพราะสักเท่าไรลืมบอกไปว่าผมชอบทำเพลงช้าหรือเพลงกลางๆใสๆมากกว่าตามถนัด ส่วนใหญ่ผมจะฮัมหาท่อนHook(สร้อย)ก่อน เพราะมันเป็นท่อนที่จำและแข็งแรงที่สุดในเพลง ซึ่งมักจะอยู่ตรงกลางเพลง แต่ก็ไม่จำเป็นเสมอไปนะครับ บางทีมันก็อาจจะอยู่ตรงท่อนแรกตอนขึ้นเพลงได้เหมือนกัน
มีบ่อยครั้ง(บ่อยมาก)ที่ผมบังเอิญฮัมไปฮัมมาแล้วเนื้อเพลงมันออกมาด้วยอย่างลงตัวมากซึ่งถือเป็นเรื่องดีเลยทีเดียว เพราะมันจะง่ายต่อการคิดconceptของเพลง ยกตัวอย่างเช่นเพลงฝันกลางวัน ของไบรโอนี่ ผมฮัมออกมาเป็นเนื้อและทำนองได้ก่อนเลย ตรงท่อน"อย่าปล่อยให้ฉันต้องฝันกลางวัน ให้ฉันมัวคิดเอาเอง" แล้วจากนั้นมันก็ไหลไปเรื่อยๆจนผมได้เนื้อร้องทำนองของท่อนสร้อยมาทั้งท่อน เสร็จแล้วผมถึงลงมือทำท่อนอื่นต่อ ซึ่งมาถึงตรงนี้ผมจะโฟกัสไปที่ทำนองอย่างเดียวแล้วเอาให้เพราะถูกใจตัวเองก่อนเลย ไม่ต้องห่วงเนื้อร้องแล้วเพราะมีท่อนสร้อยเป็นแกนให้ยึดแล้วว่าจะเขียนอะไรต่อไปและconceptเพลงจะเป็นอย่างไร แต่มีบางครั้งที่ผมต้องไปเจอเหตุการณ์อันน่าเศร้าบางอย่างที่ทำให้เกิดความรู้สึกท้อแท้ ผิดหวัง (ไปหลงรักใครแล้วเค้าไม่รักตอบ อกหักนั่นเอง)แล้วพอจะต้องเขียนเพลงเศร้าที่ได้รับคำสั่งมาให้ทำ ก็เลยไม่ต้องbuildอารมณ์กันมาก
พอลงมือเคาะแป้นคีย์บอร์ดเท่านั้น ทั้งเนื้อร้องและทำนองก็ไหลออกมาจนจบเพลงโดยที่ผมไม่ต้องไปเสียเวลาฮัมหาท่อนโน้นท่อนนี้ก่อนเลย ยกตัวอย่างเช่นเพลง พูดไม่ออกของ ญาญ่าญิ๋ง ที่เรื่องราวของเพลงมันถูกกลั่นออกมาจากความรู้สึกของผมจริงๆ แต่ผมก็ต้องเอากลับมาตรวจทาน แก้ไขเนื้อร้องบางคำบางจุด เพื่อให้เหมาะสมกับตัวนักร้อง อาจจะมีบ้างที่บางเพลงก็ไม่ได้แก้อะไรเลย (เนื่องจากความขี้เกียจ) แล้วบังเอิญว่าเพลงมันก็เข้ากับตัวนักร้องได้อยู่ เช่นเพลง เหนื่อยใจ ของ XL STEP ที่ผมใช้วิธีแบบเดียวกันคือลงมือเขียนเนื้อร้องกับทำนองไปพร้อมๆกันตั้งแต่ต้นจนจบ โดยส่วนใหญ่แล้วเพลงแบบนี้ ผมจะใช้เวลาทำไม่กี่ชั่วโมง ต่างจากเพลงที่ทำทำนองขึ้นมาก่อนซึ่งต้องเสียเวลากับการหาคอร์ดใส่ หาตัวเมโลดี้ที่ถูกใจ บางทีพอเสร็จแล้วถ้ารู้สึกง่วงหรือล้าแล้วผมก็จะยังไม่เขียนเนื้อ จะเก็บไว้เขียนในวันต่อไป หรือเก็บไปเลยเป็นเดือนก็มี
ส่วนคอร์ดที่ผมใช้เล่นในเพลงนั้น ผมจะยึดเอาสเกลของคีย์c เป็นหลัก เพราะมันง่ายสำหรับผม อย่างที่กล่าวไว้ตอนต้นว่าผมมีความรู้จำกัดในเรื่องการใส่คอร์ดลงไปในเพลง แรกๆผมจะเล่นวนอยู่แค่คอร์ดC AM DM G7บ้าง C EM AM F Gบ้าง แล้วแต่มือกับอารมณ์จะพาไป หลังๆผมพยายามศึกษาหาคอร์ดแปลกๆมาใส่ โดยยังยึดเอาคีย์C เป็นหลัก เช่น เปลี่ยนเป็นเล่นCmaj7 บ้าง เป็นCmaj9บ้าง ดูๆอย่างนี้แล้วเหมือนว่าผมจะตันบ้างไหม ก็มีครับ แต่ผมอาศัยการพลิกแพลงเมโลดี้ไปเรื่อยๆ หรือไม่ก็เปลี่ยนวิธีตีคอร์ดให้ฟังดูมีอะไรแปลกใหม่ขึ้น ส่วนขั้นตอนต่อไปคือการส่งเพลง ผมจะบันทึกเพลงของผมลงไปในเทป แล้วส่งไปพร้อมกับเนื้อเพลง หรือบางทีก็ร้องอัดไปด้วยเลย แรกๆตอนที่ผมเอาเพลงไปเสนอค่ายเทปนั้นผมยังไม่มีเครื่องมือหรืออุปกรณ์ทำเพลงอะไรเลย ก็จะใช้วิธีเล่นกีต้าร์แล้วก็ร้องสดๆ อัดใส่ลงไปในเทปด้วยวิทยุธรรมดาๆนี่เอง เพียงแต่พยายามร้องให้ชัดๆให้ได้ยินเนื้อเพลงเท่านั้นเอง
และทั้งหมดนั้นก็คือวิธีการเขียนเนื้อร้องและทำนองโดยคร่าวๆของผม ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่อยากทำอาชีพแต่งเพลงไม่มากก็น้อย อยากจะแนะนำให้คุณลองทำเพลงขึ้นมาอย่างที่คุณอยากทำและเมื่อรู้สึกว่าคุณมั่นใจกับมันแล้วก็เอาไปเสนอกับค่ายเทปเลย โดยไม่ต้องกังวลว่าคุณภาพเสียงของเพลงของคุณจะดีหรือไม่ จะต้องทำให้สมบูรณ์หรือเปล่า เพราะส่วนใหญ่แล้วค่ายเทปในเมืองไทยจะพิจารณาคุณจากการเขียนเนื้อร้องเสียมากกว่า ทำนองเป็นแค่เรื่องรองลงมา ขอเพียงให้คุณมีความพยายามและตั้งใจจริงเท่านั้น คุณก็จะประสบความสำเร็จได้ด้วยดี
วิธีการทำงานของผม
ผมจะใช้เวลาในการฟังเมโลดี้ของเพลงนั้นๆมากๆ จนสามารถจดจำและจับอารมณ์ของมันได้เป็นอย่างดีและเวลาลงมือเขียนส่วนใหญ่ผมจะเขียนจากท่อนสร้อย(hook)ก่อน
เพื่อจะได้ไม่เขียนหลุดออกจากคอนเซ็ปต์ที่วางไว้ เพราะท่อนสร้อยถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของเพลง
หลายๆครั้งผมจะใช้วิธีคิดประโยคเด็ดๆเพื่อให้ลงในhookขึ้นมาก่อน แล้วค่อยคิดคอนเซ็ปต์ว่าจะพูดเรื่องอะไรต่อ โดยใช้วิธีฮัมเพลงไปเรื่อยๆหรือบางทีก็จะคิดเรื่องที่จะเขียนจากชีวิตจริงของตัวเองไม่ก็ของเพื่อนๆ
แล้วเอามาดัดแปลงนิดหน่อยเพื่อให้เข้ากับอารมณ์ของเมโลดี้ที่ได้มา
ในกรณีที่ผมจะเขียนเนื้อร้องพร้อมทำนอง ผมจะทำทำนองขึ้นมาก่อน
แล้วค่อยเขียนเนื้อใส่ลงไป เพราะถ้าทำพร้อมๆกันไป บางทีเพลงที่ออกมามันก็จะไม่ราบรื่นหูทั้งเนื้อหาและทำนอง แต่มีหลายครั้งที่บังเอิญสภาพอารมณ์ในตอนนั้นทำให้ผมสามารถคิดเนื้อและทำนองตรงท่อนhookออกมาได้พร้อมๆกันอย่างลงตัว
อย่างไรก็ตามการเขียนเพลงให้ดีนั้นไม่มีอะไรมาจำกัดหรือมีสูตรสำเร็จตายตัวทำในวิธีที่ตัวเองถนัดและอยากทำ และให้ออกมาแล้วรู้สึกว่าเราชอบ ขอแนะนำให้พยายามติดตามผลงานของนักแต่งเพลงหลายๆคนหลายๆแนว
และดูว่าแต่ละคนนั้นมีการใช้คำหรือลูกเล่นในเพลงเป็นอย่างไร และพยายามหาแนวทางที่ตัวเองถนัดโดยการเขียนเพลงบ่อยๆและพยายามศึกษาหาศัพท์ต่างๆจากการอ่านหนังสือให้ได้มากๆ
และที่สำคัญขอให้มั่นใจในตัวเองและมีใจรักในการแต่งเพลงอย่างจริงๆจังๆก็จะสามารถทำให้คุณประสบความสำเร็จได้ด้วยดี ขอให้โชคดีครั

เทค 16 ขั้นตอน การแต่งเพลง

ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณเจ้าของบทความนี้นะครับ  ซึ่งผมไม่รู้ว่าเป็นใครจึงไม่อาจให้เครดิตได้  แต่เป็นเรื่องที่มีประโยชน์มากๆ สำหรับคนที่ฝันอยากเป็นนักแต่งเพลง  อาจจะยาวซักหน่อยใครที่ชอบแต่งเพลงก็ทนอ่านเอาหน่อยนะ

_____________________________________

เทคนิคการเขียนเพลง 16 ขั้นเทพของการแต่งเพลง
 ลองเอาไปใช้ดูครับพร้อมเพลงตัวอย่างดังๆได้เลยครับ 

2 คนนี้ Idol ผมเลย...


เทคนิคการเขียนเนื้อเพลง ผมจะพูดเกี่ยวกับภาษาไทยเสียเป็นส่วนมากนะครับ ในเรื่องของเมโลดี้หรือ DEMO เป็นเรื่องในส่วนของคนที่มีความรู้ด้านดนตรี ซึ่งก็จะเป็นคนละเรื่องกับส่วนนี้ อาชีพของนักแต่งเพลง แบ่งออกเป็นหลายตำแหน่งครับ การแต่งเพลงแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วน คือส่วนของ

เขียนทำนอง(DEMO & Melody) เขียนเนื้อร้อง หรือเรียกว่า คนเขียนคำร้อง เรียบเรียงซึ่งในค่ายเพลงต่างๆในบ้านเรา ก็จะจ่ายเงิน ในการแต่งเพลง แบ่งออกเป็น 3 ส่วนนั้นตามเรตราคา ต่างๆกันตามแต่ละบริษัทเพลงบางเพลงไม่จำเป็นต้องมีเนื้อร้องก็ได้ความไพเราะที่สมบูรณ์ แต่เพลงบางเพลงจำเป็นต้องมีเนื้อร้อง ถึงจะได้ความไพเราะ และสมบูรณ์อย่างลงตัวพอดี

ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับ รสนิยมและการดีไซน์อย่างที่เคยว่าไว้ เพลงที่ดีบางที่ก็ว่า ต้องเมโลดี้ดี ทำนองเพราะ บางที่ก็ว่า เนื้อร้องต้องกินใจ โดนใจ แต่บางที่ก็ให้ความสำคัญกับเสียงดนตรี ซาวน์ต้องแน่น ต้องสร้างอารมณ์และโชว์เทคนิค หรือความเก่งกาจทางดนตรีได้ มันก็ไม่มีอะไรถูกผิดตายตัว ขึ้นอยู่กับว่าเรามีรสนิยมทางไหน 
ในการทำ DEMO หรือเรียบเรียง จำเป็นต้องมีความรู้ด้านดนตรี แต่การเขียนคำร้อง ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้น การมีความรู้ด้านดนตรีก็ถือเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ครับ การเขียนคำร้อง จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีความรู้ทางด้านภาษา ไม่ต้องถึงขนาดจบปริญญาทางด้านภาษาศาสตร์ แต่ต้องเข้าใจเรื่องพื้นฐานทางภาษา มีภาษาส่วนตัว รู้จักใช้คำ  ลูกเล่นทางภาษา ใช้รูปประโยคการสื่อสารให้เกิดความเข้าใจได้ เทคนิคต่างๆ อาจจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการแต่งเพลง ในชีวิตจริงอาจจะมีมากกว่านี้ ก็ขึ้นอยู่กับเทคนิคเฉพาะตนของแต่ละคน แต่เรื่องพื้นฐานต่อไปนี้ก็ช่วยให้เราเขียนเพลงได้ง่ายขึ้นพอสมควรเลยล่ะครับ
  
  
1. ควรเขียนให้มีสัมผัส  จริงๆแล้วในปัจจุบัน เพลงที่คำนึงถึงสัมผัสมีน้อยลงมากครับ เดี๋ยวนี้ มีแต่เพลงที่แต่งตามใจฉันไม่สนใจสัมผัส ทั้งที่การมีสัมผัส ช่วยให้เพลงจำง่าย ฟังลื่นไหลเป็นธรรมชาติ อันนี้ผมเดาว่า เป็นเพราะรูปแบบของคนสมัยนี้เปลี่ยนไปคนที่เข้าใจในเรื่องสัมผัสมีน้อยลง จึงไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญและไม่ให้ความสนใจ ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดครับ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เพลงที่เพราะหลายๆเพลง ก็ไม่มีสัมผัสเช่นกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความจริงในเรื่องของคำสัมผัส ช่วยให้จำง่ายและฟังลื่นไหล ก็ยังคงเป็นความจริงอยู่ดี และผมคิดว่า นี่ก็เป็นเทคนิคอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เพลง ฟังดูเป็นธรรมชาติอีกด้วย
  
เช่น

Ex. 1 ไม่คิดสักครั้งว่ารักที่เราเคยทุ่มเทใจ แต่ว่ามัน...ก็จบ จุดหมายที่หวังวาดไว้มันกลายเป็นสิ่งเลือนลาง เมื่อเธอลืมกันลง

Ex. 2 ไม่คิดสักครั้งว่ารักที่เราเคยทุ่มเทใจ จบกันไป...ทุกอย่าง จุดหมายที่หวังวาดไว้มันกลายเป็นสิ่งเลือนลาง เมื่อเธอลากันไป

จากตัวอย่างเราจะเห็นความ ความลื่นไหล แหละจำง่ายของตัวอย่างที่สอง มีมากกว่าตัวอย่างแรก เพราะฉะนั้นแล้ว กลวิธีนี้ก็เป็นทางเลือกหนึ่ง ที่สามารถจะเพิ่มเสน่ห์ให้กับเนื้อเพลงของเราได้วิธีหนึ่งด้วย
  
  
2. ย้ายจุดสัมผัสให้เป็น เช่น “ฉันโง่ใช่ไหม ที่งมงายยอมทนอย่างนี้เป็นคนดีที่เธอไม่แคร์ ตามใจเธอ ไม่เห็นเธอดูแล มีแต่ทำให้ช้ำใจ อยู่ได้ทุกวัน ฉันโง่ใช่ไหม ที่ยังคงงมงายอย่างนี้ยอมเป็นคนที่เธอไม่แคร์" เลื่อนสัมผัสก็เป็นอีกวิธีนึงครับ ที่เราจะสร้างสรรค์ประโยค อย่างที่เราอยากได้ยินได้
  
  
3. เลือกใช้สระง่ายๆ เลือกใช้สระไอ สระอา สระอี สระอำ หรือลากเสียงให้ยาวขึ้นเช่น สระไอ เป็น สระอาย / อำ เป็น อาม / อัน เป้น อาน เหล่านี้ไม่ใช่กฎข้อบังคับนะครับ แต่เป็นเทคนิคในการเพิ่มตัวเลือกของคำสัมผัสให้มากขึ้น ทำให้เรามีคำให้เลือกใช้มากขึ้นครับ
  
  
4. อย่าใช้คำซ้ำเยอะ ภาษาไทยเรามีข้อดีอย่างหนึ่งครับ คือมีหลายคำที่ให้ความหมายเดียวกัน เราสามารถเลือกและหาคำเหล่านั้นมาใช้แทนกันได้ เราไม่ควรจะใช้คำซ้ำเยอะครับ เพราะจะทำให้เรื่องดูน่าเบื่อ อย่างเช่นคำว่าพระจันทร์ ก็ยังมีคำว่า เดือน อีก พระอาทิตย์ ก็มี ตะวัน ฯลฯ เราสามารถเติมคำเข้าไปในคลังคำในสมองของเราก็ด้วยการอ่านหนังสือเยอะๆครับ อ่านเยอะๆ ฟังเยอะๆ เราก็จะมีคำสะสมเยอะ ช่วยให้เพลงของเรา ดูดีขึ้นอีกจมเลย
  
  
5. เขียนถูกโน๊ต (ครบโน๊ต ไม่เพี๊ยน ไม่เหน่อ ถูกคำสั้น-ยาว) เราต้องเขียนให้ถูกโน๊ต ครบ โน๊ต ไม่เพี๊ยน ไม่เหน่อครับ เราควรจะให้ความเคารพเมโลดี้ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เราไม่ควรจะแก้เมโลดี้ครับ ยกเว้นในบางกรณี เราสามารถเสนอความคิดเห็นเราได้ ว่าอยากให้เพิ่มหรือ ลดตรงไหน แต่ไม่ใช่ว่าเราตั้งหน้าตั้งตาจะแก้เมโลดี้เขาอย่างเดียวนะครับ มันไม่ใช่มารยาท เขียนให้ครบโน๊ตก็คือ ในแต่ละท่อนมีกี่โน๊ต หรือมีเสียงอยู่กีครั้ง เราก็ควรจะเขียนให้ได้ตามนั้น  เช่นในประโยคหนึ่งมี เมโลดี้อยู่ 7 ตัว เราก็ควรจะเขียนให้ได้เสียงในภาษา 7 เสียง หรือที่เรียกว่า 7 พยางค์ก็ได้ เช่น
  

เมื่อมั่งมีมิตรมุ่งหมายมอง ( คำ)
เมื่อสหายอยากกินบะหมี่ ( คำ แต่ พยางค์)
อยากสบายก็ไปสปา ( คำ แต่ 7 พยางค์)
ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องให้เสียงมันตรงกับเมโลดี้ด้วยนะครับ ถึงจะใช้ได้ และที่สำคัญ เราก็ควรจะเขียนให้ร้องได้ สื่อสารได้เข้าใจ ไม่เพี๊ยนโน๊ต จนความหมายเปลี่ยนหรือ ประโยคฟังแล้วขำไปเลย อย่างที่เคยได้กล่าวไว้ในหัวข้อ
  

วิธีการเขียนเพลง
อีกเรื่องหนึ่งที่เราต้องระวังก็คือ คำสั้น – ยาว เราต้องฟังเสียงโน๊ต โน๊ตบางตัวสั้น บางตัวยาว เราต้องเขียนให้ถูกตามนั้น

จะช่วยให้เพลงฟังดู สบายหู และลื่นขึ้นเป็นกองเลย อย่างคำว่า


สบาย (สั้น-ยาว)
ข้าวเปล่า (ยาว-ยาว)
สปา (สั้น – ยาว)
กระตุก (สั้น – สั้น)
ประจุไฟฟ้า (สั้น – สั้น – ยาว – ยาว)

อย่างถ้า เสียงเมโลดี้มัน สั้น – ยาว เราไปใส่คำว่า “ปวดท้อง” ซึ่งเป็นเสียง ยาว - ยาว  ก็ไม่ถูกครับ แถมยังทำให้ร้องยากขึ้นด้วย เช่น จากเสียงที่ได้ยิน เราอาจจะร้อยประโยคใส่ได้ว่า
  
โอ๊ย...อยากกินติ่มซำกับเขาบ่อยบ่อย

แต่ถ้าเรา ใส่ประโยคว่า

คุก....อยากชวนให้มาติดคุกสักหน่อย เสียงก็จะไม่ถูก แค่คำว่า “คุก” คำแรก ก็ออกเสียงลำบากแล้ว เพราะเมโลดี้มันลากเสียงยาว ถ้าเรายังไม่คล่องหรือยังไม่ค่อยเข้าใจเสียง สั้น ยาว เอาง่ายๆว่า ถ้าปากเปิด เราสามารถลากเสียงได้ยาว แต่ถ้ามันเป็นคำที่ปากปิด หรือลิ้นมันดันเพดานทำให้ช่องปากปิด เราจะไม่สามารถลากเสียงได้ ใช้เกณฑ์นี้ อาจจะไม่ถูกหลักภาษาไทยนักแต่มันเป็นการช่วยให้เรารู้ว่า เราจะเลือกใช้คำไหน แล้วร้องสบายปาก ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ใช่กฎตายตัวอย่างที่บอก ถ้าคำมันเจ๋งจริงๆ ได้ความหมายมากๆ เราสามารถยอมได้ แล้วใช้การร้องช่วยเข้ามาแก้ปัญหา แต่ยังไง ถ้าเป็นไปได้ เราก็น่าจะทำอย่างต้นแบบให้ได้ก่อน นี่ก็เป็นเทคนิคหนึ่งที่เราอาจจะคำนึงถึงในการแต่งเพลงครับ


6. คิดคำจากเมโลดี้เด่นๆ เราฟังเมโลดี้ในเพลง เสียงไหนที่มันสะดุดหูเรา เราชอบและเกิดไอเดีย เราสามารถเอาตรงนั้นมาขยายเป็นเพลงได้ครับ นี่ก็เป็นอีกเทคนิคหนึ่ง ที่ช่วยให้เราแต่งเพลงง่ายขึ้น
  
7. คิดท่อน Hook ก่อน อันนี้เป็นวิธีที่ได้ผลค่อนข้างดีกับตัวผมเลยครับ เป็นวิธีของครูผมที่แนะนำมา เราฟัง Hook ก่อนเลย จำมันให้ขึ้นใจ ฟังเสียงหัว Hook แล้ว List คำออกมาดูว่า คำใดที่น่าสนใจ และเรื่องราวที่เราจะมาสร้างต่อมันแข็งแรง  ให้เลือกออกมาสร้างเป็นเรื่องและเขียนเป็นเพลง  

8. ล้อคำ ล้อโน๊ต การล้อคำ ล้อโน๊ต จะทำให้เพลง สละสลวยจำง่ายขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เพลง “นินจา”  ของคริสติน่า ตรงท่อน “เดี๋ยวผลุบ เดี่ยวโผล่ ไม่โผล่ ก็ผลุบ ไม่ผลุบ ก็โผล่” โน๊ตค่อนข้างชัดเจน ก็ใช้คำล้อโน๊ตตามไปเลย ทำให้เพลง สละสลวย จำง่ายขึ้นด้วย
นินจา
คริสติน่า อากิล่า
แปลกจริงๆเลย ก็อยู่ไปดีดี เดี๋ยวเธอก็มา ไม่ทันจะเตรียมตัว ทำเหมือนนินจา
เมื่อมาลีลาไม่เหมือนใคร แปลกจริงๆเลย
ก็อยู่กันดีดี แล้วเธอก็ไป ประหลาดไปวันวัน จะรักกันยังไง ต้องการอะไรก็ว่ามา
มาทำเป็นเดี๋ยวผลุบ เดี๋ยวโผล่ ประเดี๋ยวโผล่ประเดี๋ยวก็ผลุบ ไม่ผลุบก็โผล่ ........


9. เล่นคำ เป็นการเล่นเสียงตัวอักษรหรือคำที่เหมือนกัน เช่นในเพลง ลานเทสะเทือน”  จะเล่นตัวอักษร ท กับ ถ อย่างในประโยคที่ว่า เสียงลมพัดตึง เคล้าคลึงยอดตอง คิดถึงเนื้อทอง  สาวลั่นทม เจ้าจากลานเท.....
ลานเท
A1 
เสียงลมพัดตึง เคล้าคลึงยอดตอง คิดถึงเนื้อทอง สาวลั่นทมเจ้าจากลานเท
ผมนั่งรถท่อง พอทั่วกรุงเทพฯ ก็ดีถมเถ เพราะว่ากรุงเทพฯ ลานเท
นั่งเรือด่วนเที่ยวเดี๋ยวเดียวก็ถึง

A2 เขียวเอยขาวเอย แล่นเลยทุกลำ มิมีโฉมงาม สาวแก้มนวลที่สุดคะนึง
พ่อแม่ร้องไห้ ทมไม่คืนทุ่งป้าลุงถามถึง หรือเพื่อนกรุงเทพฯ คอยดึง
ผู้คนคงทึ่งสาวทุ่งลานเท
Hook จากวันเป็นเดือน จากเดือนเคลื่อนไปเป็นปี
ลั่นทมไม่มาสักที พวกพ้องน้องพี่ทุกคนสนเท่ห์
รถเก๋งเพลงหวาน ตึกรามโอฬารสวรรค์ทั้งเพ
สาธุเจ้าแม่ลานเท อย่าให้ลั่นทมอุ้มท้องคืนทุ่ง

A3 เสียงเรือขรมคลืน ทุกคืนพี่ตรม คิดถึงลั่นทม โฉมบังอรโอ้หล่อนเพลินกรุง
เราทุ่มรักเก้อ เราเซ่อยอมซ่มลั่นทมเขาสูง ถึงกล้าไปเทียบคนกรุง
พี่นอนสะดุ้งเหมือนทุ่งสะเทือน

เราไม่จำเป็นต้องใช้ทั้งเพลงอย่างตัวอย่างก็ได้ครับ เลือกใช้บางจุดก็ได้


10. ใช้คำขัดแย้งกันมาเล่าเรื่อง  เช่นเพลงนี้ครับ

"นิยายเมืองหลวง"
ศิลปินเสาวลักษณ์ ลีละบุตร
อัลบั้มCITY WOMAN
คำร้อง    สุรักษ์ สุขเสวี
ทำนองเรียบเรียง   ชนชิต จรรย์สืบศรี

A1 ออกไปเดินปะปนพร้อมผู้คนมากมาย เธอคือสาวชาวเมือง
ที่ยังต้องดิ้นรน แต่งตัวสวยเสื้อผ้าสะอาดทั้งที่ใจหมองหม่น
แต่ไม่เคยมีใครสักคนจำชื่อเธอ
A2 เมื่อตะวันโรยแรงแสงจะลับขอบฟ้า ก็จะเห็นเธอมาอย่างคนไม่มีที่ไป
กลับมาบ้านที่ไม่มีคน ห้องที่ไม่มีใคร แต่ก็คงจะเป็นที่เดียวให้เธอได้ซุกนอน

ในคืนวันนั้นท่ามกลางพายุฝน มีคนมองเห็นผู้ชายหลายคน
ในห้องเธอ จนในเวลาแสงไฟดับไป เขาทำอะไรเธอ

C1 ฝนซาแต่ฟ้ายังหม่น มีแค่ความมืดมัว
A3 เมื่อตะวันเรืองรอง แสงสีทองกลับมา ฉากชีวิตในเมือง
ผู้คนยังมากมาย ใครจะนับผู้หญิงคนหนึ่ง รู้ว่าเธอหายไป
เมื่อชีวิตเธอคือนิยายที่โดนผู้คนเมิน
A4 เธอไปอยู่ไหน ไม่มีใครถามถึง เป็นใครอีกคนที่โดนสังคมกลืนกินไป
ในเมืองยังมีเรื่องราววุ่นวาย ไม่มีอะไรเปลี่ยน
C2 หลายวันล่วงเลยไป ในบ้านยังเงียบงัน
หลายเดือนห้องจึงเปิดต้อนรับคนหน้าใหม่

เพลงนี้ ผมมองว่ามันไม่มี Hook ครับ เพราะเพลงนี้ ผมเดาว่าถูกออกแบบมาให้เป็นเพลงศิลปะ ไม่ใช่เพลงขาย ความสำคัญของมันจึงอยู่ที่ความสวยของเพลงทั้งเพลง เพลงนี้มีข้อดีหลายจุดแต่ในหัวข้อนี้ผมอยากให้สังเกตุการเล่าเรื่อง เทคนิคการใช้ความต่าง มาเปรียบเทียบและเล่าเรื่อง

สังเกตุดูนะครับ ออกไปเดินปะปนพร้อมผู้คนมากมาย……แต่ไม่เคยมีใครสักคนจำชื่อเธอ แต่งตัวสวยเสื้อผ้าสะอาดทั้งที่ใจหมองหม่น เห็นเธอมาอย่างคนไม่มีที่ไป ฯลฯ

11. ใช้สำนวน หรือการเปรียบเทียบ การใช้สำนวนเปรียบเทียบ ก็คือการที่เรา หาสำนวน หรือการเปรียบเทียบใส่ไว้ในประโยค ไม่ว่าจะเป็น ทั้งเรื่อง / ทั้งพล็อต ของมัน  หรือจะเป็นเฉพาะบางจุด ก็ถือว่าเป็นอีกทางหนึ่ง ที่หลุดออกจากเพลงเดิมๆได้ครับ เป็นการเพิ่มเสน่ห์ให้กับเพลงอีกด้วย  การเปรียบเทียบมีหลายอย่าง ตัวอย่าง เช่น


เขียนด้วยมือ
ตอง ภัครมัย
A1 เธอเคยแสนดี อ่อนโยนและเข้าใจ อบอุ่นเสมอในวันที่อ่อนไหว
ดูเธออยู่นาน ตั้งแต่ใจมันยังไม่คิดอะไร แล้วก็มาเปลี่ยนใจเป็นรักเธอ

A2 จนวันที่เธอ หมดใจจะให้กัน ตั้งแต่วันนั้นเธอเปลี่ยนเป็นใจร้าย
เอ่ยคำทุกคำ ทำให้คนใจสลาย เหมือนไม่มีเยื่อใยกันเลย

Hook เธอเอามือเขียนความรักเรา แต่เอาเท้าลบมันทิ้งไป
เพียงเธอเดินมาบอกสักคำว่าหมดใจ ฉันก็ให้ไป
ไม่ต้องใช้คำแรงๆแบบนั้นเลย
A3 คนเคยรักกัน จากกันไปด้วยดี แค่เพียงเท่านี้ลำบากอะไรไหม
อยู่กันตั้งนาน วันที่ดีเก็บมันไว้ ไม่จำเป็นต้องเกลียดกันเลย

เพลงนี้ใช้สำนวนว่า เขียนด้วยมือ ลบด้วยเท้า” (ในหลักภาษาไทย อาจแยกกันระหว่างสำนวนกับสุภาษิต แต่ผมขออนุญาติเรียกโดยรวมนะครับ ว่าหมายถึงสำนวน หรือสุภาษิตก็ได้) และสำนวนในเพลงนี้ ยังเป็น Hook ซึ่งผู้เขียนเอาสำนวนมาสร้างเป็นเรื่องราวของเพลง


ปราสาททราย 
สุรสี
A1 กว่าจะรวมจิตใจ เก็บทรายสวยๆมากอง ก่อปราสาทสักหลัง
ก่อกำแพงประตู ก่อสะพานสร้างเป็นทาง ทำให้เป็นดังฝัน


B1 ก่อนที่ฉันจะได้เห็นทุกอย่าง อย่างที่ฝันที่ฉันทุ่มเท
น้ำทะเลก็สาดเข้ามา

Hook1 ไม่เหลืออะไรเลย แหลกสลายลงไปกับตา
เหลือเพียงทรายที่ว่างเปล่า กับน้ำทะเลเท่านั้น
ไม่เหลืออะไรเลย จากที่เคยมีความใฝ่ฝัน
ไร้กำลังจะสร้างใหม่ ให้เหมือนเดิม

A2 ทีละเล็กละน้อย ที่คอยสะสมความดี มีให้เธอเท่านั้น
ก่อเป็นความเข้าใจ แต่งเติมความหมายด้วยกัน คอยถึงวันที่หวัง

B2 ก่อนที่ฉันจะได้พบความสุข อย่างที่ฉันฝันไว้ทุกวัน
เธอก็พลันมาจากฉันไป

Hook2 ไม่เหลืออะไรเลย แหลกสลายลงไปกับตา
เหลือเพียงใจที่ว่างเปล่า กับฉันคนเดียวเท่านั้น
ไม่เหลืออะไรเลย จากที่เคยมีความใฝ่ฝัน
ไร้กำลังจะสร้างใหม่ให้เหมือนเดิม

Bridge จะเอาแรงพลังจากไหนไว้เติมแต่งฝัน
จะเอาวันและคืนจากไหนให้พอทำใจ ไม่เหลืออะไรเลย

เพลงนี้ใช้การเปรียบเทียบที่ดีมากครับ เป็น Mass มาก เข้าใจง่าย และเป็นความจริง เพลงนี้อาจจะไม่ใช่การใช้สำนวนหรือสุภาษิตเข้ามาเกี่ยวข้องกับเพลง แต่ว่า เพลงนี้กลับใช้การเปรียบเทียบได้อย่างลงตัวมากๆ โดยการเปรียบปราสาททราย กับความรัก ที่กำลังสร้างอยู่ แม้จะดูไปได้ด้วยดี แต่ก็กลับมีอุปสรรค์มาทำให้มันพังทลายง่ายๆ


12. หาประโยคมีน้ำหนัก หรือประโยคเด็ดๆมาไว้ในเพลงบ้าง คือเราควรจะหาคำหรือประโยคเด็ดๆ มาสอดแทรกในเพลง  จะช่วยทำให้เพลงกินใจขึ้นเยอะครับ เช่นเพลง


รักครั้งสุดท้าย
นักร้อง โบ สุนิตา
A1 ฉันอาจจะไม่น่าดูฉันรู้ตัว ฉันอาจจะเผลอทำตัวเป็นแบบนี้
แต่หากเธอหันมามองเธอคงจะรู้ได้ดี ว่าตอนนี้ฉันต้องการเธอแค่ไหน

ไม่ใช่เพียงแค่ไหล่ไว้ซบอิง แต่เธอคือที่พักพิงที่สุดท้าย
ไม่ได้หวังแค่เพียงมาเพื่อฝากหัวใจ แต่จะฝากชีวิตไว้กับเธอ

Hook โปรดอย่ามองว่าฉันเหมือนคนน่ารำคาญ อย่าโกรธเคืองที่ฉัน
วุ่นวายและอ่อนไหว แค่อาการไขว่คว้าของคนที่เหงาใจ
หวังจะฝากความรักครั้งสุดท้าย ไว้ที่เธอ

A2 ฉันอาจจะไกล้ชิดเธอ จนมากไป เธออาจจะหนีฉันไปในสักวัน
มันทำให้ฉันยิ่งกลัว กลัวเธอไม่รู้ใจกัน ว่าเธอมีค่ากับฉันมากแค่ไหน


ปั้นปึง
นักร้อง The Backup
A1 อย่าทำอย่างนั้น อย่าไปไกลๆจากฉัน ทิ้งความเคยผูกพันธ์
มันทำร้ายกันรู้ไหม จะโกรธจะแค้นปั้นปึงกันเรื่องได
ขอเธอจงเข้าใจไม่เคยรักใครจริงๆ
(จะโกรธจะแค้น ฉันนั้นมากแค่ไหน จงเข้าใจ ไม่เคยรักใครเท่าเธอ)

หากขาดเธอคงหมดใจ ขาดเธอไปคงหมดกัน สิ่งที่ฝันที่วาดไว้อย่างสวยงาม
อยู่กันมาตั้งเท่าไร ผิดตรงไหนก็พูดกัน โปรดอย่าทำไปอย่างนั้นให้เจ็บใจ

Bridge ประโยชน์อะไร ที่ฉันต้องมีชีวิตอยู่เมื่อไม่รู้
จะมีมันอยู่เพื่อใคร ภาพความทรงจำคือเธอคนเดียวในใจ
ขาดเธอไปจะอยู่ไปก็เท่านั้น


เพลงนี้ ใช้ประโยคที่มีน้ำหนัก และความหมายลึกซึ้งมาวางในเพลง ทำให้ เพลงนี้ จากเรื่องธรรมดาๆ กลับกลายเป็นเพลงที่ลึกซึ้งและกินใจขึ้นมาก  เทคนิคอีกอย่างหนึ่งที่จะทำให้เพลงดูน่าสนใจก็คือการเปิดหัวประโยคแรกของเพลง  ถ้าเราหาคำที่มีน้ำหนัก หรือทำให้เราสะดุดได้ ไม่ว่าจะเป็นประโยคบอกเล่า หรือคำถามตรงต้นประโยค ก็จะทำให้เพลงเราเรียกร้องให้คนฟังต่อได้ดี เป็นเทคนิคอีกอย่างหนึ่ง ที่เราสามารถหามาเพิ่มให้เพลงเราดูพิเศษขึ้นได้ เช่นใน เพลงที่ยกตัวอย่างไป ก็ถือว่าเปิดประโยคหัวที่มีน้ำหนักได้ดีครับ ตรงนี้แรกๆเราอาจจะยังไม่ชำนาญก็ค่อยๆฝึกๆ สังเกตุเรื่อยๆ แล้วเราก็จะพัฒนาขึ้นได้อีกเยอะเลย


13. เขียนเป็นธีม (Theme) บางครั้งบางเพลงก็ไม่มีเรื่องราวอะไรมากมาย วิธีหนึ่งที่ทำให้เพลงเราน่าสนใจ คือใช้วิธีการเขียนแบบเป็น ธีม (Theme) ก็ช่วยเพิ่มสเน่ห์ได้ครับ การเขียนแบบเป็นTheme ก็คือการที่เราเอาเรื่องนั้นๆ เป็นตัวตั้งต้นเช่นเพลง น้องเอ๊ย”  ก็ถือว่าเป็นการเขียนโดยใช้ Theme ส่วนอีกเพลงหนึ่งที่จะยกเป็นตัวอย่างคือ

เพลง “ขอบใจจริงๆ
ธงชัย แมคอินไตย
A1 อยากขอบใจสักครั้งหนึ่ง ถึงคนที่เคยซึ้งใจ
สุดท้ายก็จากกันไป และเหลือทิ้งไว้เพียงแค่ความทรงจำ

A2 อยากขอบคุณที่สอนให้ ฝันและใฝ่จนชื่นฉ่ำ
และสอนให้เจ็บให้ช้ำ ให้จำบทเรียนที่แพงเหลือหลาย

Hook ถ้าหากครั้งนี้ ไม่มีเธอลวงหลอกไว้ ฉันนี้คงงมงาย
เห็นรักดรเกินไป ไม่มีวันจะรู้ ฉันเจ็บครั้งนี้ ฉันมีเธอเป็นดั่งครู
สอนฉันให้เข้าใจ รักร้าวเป็นเช่นไร ขอบใจจริงๆ
ฉันแพ้จนเข้าใจ รักร้าวเป็นเช่นไร ขอบใจจริงๆ


14. เขียนเป็นพล็อต (Plot) เขียนเป็นพล็อต หรือคิดเป็นพล็อต ก็คือการที่เราเขียนเรื่อง หรือสิ่งที่เราอยากจะเล่าก่อน โดยที่เราไม่คำนึงถึงความยาวหรือสิ่งใดๆเท่าไหร่ แล้วเราค่อยมาดูใจความ  หรืออะไรสักอย่างที่อาจจะพบเจอ ของดี” ในขณะที่เราเล่าไปเรื่อยๆ และเราก็หยิบหรือเอาจุดนั้นมาเป็นเพลง บางทีเราอาจจะกำหนดเหมือนเรื่องสั้น หรือหนังเรื่องหนึ่งไปเลยก็ได้ ว่าเรื่องของเรามีกี่คน


คนไหนรักคนไหน อะไรเกิดขึ้นบ้าง เรื่องเป็นอย่างไร แล้วเราค่อยตัดทอนเอา หรือสรุปเอามาใช้  พล็อตมันสำคัญตรงที่ ถ้าคุณได้พล็อตที่แข็งแรง และเคลียร์ ก็จะง่ายต่อการเขียน แต่ถ้าพล็อตไม่ชัด ก็จะไม่มีประเด็นในการเล่าเรื่อง เราต้องยอมรับว่า เพลงก็คือการสื่อสารชนิดหนึ่ง ในวงกว้าง ถ้าเรื่องมันไม่เป็น Mass คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ ก็ถือว่าเพลงนั้นไม่ดี ไม่ประสบความสำเร็จในการสื่อสาร เพราะฉะนั้นแล้ว พล็อตก็เป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง ที่เราไม่ควรมองข้าม


15. อ่านอารมณ์ของเมโลดี้ เราต้องฟังเมโลดี้ แล้วอ่านอารมณ์ให้ออกครับ ว่ามันเป็นเพลงด้านไหน บวก (เพลงสนุก มีความสุข) หรือ ลบ (เพลงที่เศร้า แค้น เสียใจ) หรือกลางๆ  เพลงที่ บวก หรือ ลบ จะไม่ยากเท่าไหร่ เพราะจะชัดเจนเลยว่าเพลงไปทิศทางไหน สุข หรือ เศร้า

แต่เพลงที่มักจะมีปัญหาสำหรับนักแต่งเพลงใหม่ๆก็คือเพลง กลางๆ เพราะว่า มันสามารถฟังไปทาง สุขเหงาๆ เศร้าๆเหงาๆหรือ คิดถึงแบบเหงาๆได้ แต่จริงๆแล้ว เพลงไม่กี่เพลงเท่านั้นครับ เป็นได้ทั้ง ทาง เพลงส่วนมากที่ออกกลางๆ  จะมีทิศทางของมันอยู่แล้ว เราต้องใช้ประสบการณ์ ตีโจทย์ให้ออกครับ ว่าเพลงมันไปทางไหน จากนั้น ก็ต้องหาเรื่องและระดับคำที่พอดีกับเพลง ตรงนี้เทคนิคที่จะอ่านอารมณ์ให้ออก ต้องอาศัยความรู้เรื่องดนตรีด้วยบ้างครับ

แต่หากไม่มีความรู้เรื่องดนตรี ก็ต้องลองหลับตาฟังแล้ววัดดวงเอา เรื่องแบบนี้มีผิดถูกได้เป็นเรื่องปรกติ ผมมองว่าต้องอาศัยประสบการณ์ถึงจะอ่านได้ขาด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็ต้องฟังโปรดิวเซอร์นะครับ ว่าต้องการเพลงประมาณไหน ทิศทางไหน ถือเอาการคุยกัน การประชุมกันเป็นสำคัญ เพราะเมื่อเมโลดี้ออกมาแล้ว เราคิดว่าเป็นอารมณ์หนึ่ง แต่การเรียบเรียง หรือArrange เพลง เมื่อเสร็จแล้ว อาจจะออกมาแล้วให้ความรู้สึกอีกอารมณ์นึงเลยก็ได้


16. วางแผนการเล่าเรื่อง เรื่องนี้เป็นหัวใจสำคัญเลยก็ว่าได้ครับ เนื่องจากอย่างที่เคยว่าไว้เพลงถือเป็นการสื่อสารชนิดหนึ่ง เมื่อเราสื่อสารในวงกว้าง เพลงจึงควรจะเป็นเรื่องที่ทุกคน  หรือคนส่วนมากเข้าใจได้ ไม่ใช่ว่าเข้าใจอยู่เพียงคนเดียว หรือเข้าใจเพียงเฉพาะบางกลุ่ม ยกเว้นว่าเราทำเพลง หรือแต่งเพลงเพื่อฟังคนเดียว หรือเฉพาะกลุ่มนั้นๆ แต่ถ้าหากเราต้องการสื่อสารให้คนส่วนมากเข้าใจ การวางแผนการเล่าเรื่องเป็นสิ่งสำคัญ


สำหรับเรียบเรียงความคิดออกมาให้ง่ายที่จะเข้าใจได้ สมมิตว่า ผมมีพล็อตหนึ่งว่า

น้องเอ๊ย ทำอะไรก็ได้นะน้อง แต่อย่าแต่งตัวโป๊ วับๆแวมๆเลย รู้ไหมยิ่งโตยิ่งเป็นสาวยิ่งอันตราย พี่รู้นะว่า อยากอวดผิวเนียนนุ่ม อยากดูอินเตอร์ฯ อยากทันสมัย แต่มันอันตรายนะน้อง ยิ่งไม่ระวังตัวด้วยแล้ว พี่ใจจะสลาย เห็นแล้วเสียวแทนจริงๆ

จากนั้น เราก็มาดูเมโลดี้ครับ ว่ามีกี่ท่อนแล้วเราก็วางแผนลงไป ว่า จะพูดอะไรตรงไหนบ้างวางแผนทีละท่อน ทุกท่อนไว้ในกระดาษเลยนะครับ เวลาเราลงมือเขียนจริง ก็เอาตรงนั้นมาเป็นแบบ รับรองว่าเพลงฟังรู้เรื่อง เรื่องไม่แตกประเด็น เรื่องไม่หลงทิศทาง แถมเรายังวางแผนการใช้เทคนิคอื่นๆเพื่อให้เห็นองค์รวมของเพลงได้อีกด้วย รับรองว่าเทคนิคนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งเลยครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้แปลว่า เพลงๆหนึ่งของคุณต้องมีเทคนิคทุกอย่างแพรวพราวในเพลงนะครับ เทคนิคมีไว้ให้เราเลือกใช้ตามความถนัดและความเหมาะสม เพลงๆหนึ่งอาจจะไม่มีเทคนิคอะไรเลย หรืออาจจะ มีได้หลายเทคนิค สิ่งสำคัฐคือ มันต้องพอดีและลงตัว ซึ่งเรื่องนี้เมื่อแต่งเพลงเสร็จ เราเองก็จะเห็นเองว่า มันมากเกินไปหรือน้อยเกินไป คงต้องลงมือทำกันดูก่อนเท่านั้น